ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

กลางขี้ขลาด

๔ ส.ค. ๒๕๕๖

 

กลางขี้ขลาด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๑๓๖๙. เรื่อง “จิตเป็นมัชฌิมาหมายถึงอะไรครับ”

ได้ทราบมาว่าพระองค์หนึ่งได้ไปกราบเยี่ยมโยมคนหนึ่งเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ แล้วโยมถามพระว่า จิตเป็นมัชฌิมามานานเท่าไรแล้ว

พระตอบว่า ๒๐ ปี

แต่โยมบอกว่า ๑๕ วัน แต่ผมไม่ทราบว่าหมายถึงจิตใครที่ว่า ๑๕ วัน จะเป็นจิตพระหรือเปล่าที่เข้าใจตนเองผิดว่าได้มา ๒๐ ปีแล้ว เพราะคำเหล่านี้เป็นคำที่พระมาเล่าให้ฟังหน้ากุฏิโยม ไม่มีใครซักถามรายละเอียดมาก แต่เป็นข้อสงสัยของผมคือ อะไรคือจิตเป็นมัชฌิมาครับ

ตอบ : ฉะนั้นว่า อะไรเป็นจิตเป็นมัชฌิมา กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติด้วยกันนะ กรณีอย่างนี้ไม่มีค่าเลย ไม่มีค่า ไม่มีค่าอะไรเลย แต่นี้ในการที่คนที่ปฏิบัติยังไม่เป็นคิดว่าสิ่งนี้มันมีค่ามาก พอมีค่ามากก็พูด พูดในเชิงว่าตัวเองมีคุณธรรม ถ้าในเชิงว่าตัวเองมีคุณธรรม แต่คุณธรรมนั้นเป็นอย่างไร ก็ถึงบอกว่าคุณธรรมนั้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นมัชฌิมา มัชฌิมาเป็นคุณธรรมอะไร มัชฌิมามันก็เป็นทางสายกลางเท่านั้นเอง

ฉะนั้น เริ่มต้น เริ่มต้นว่า “ได้ทราบมาว่ามีพระองค์หนึ่งไปกราบเยี่ยมโยมคนหนึ่งเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โยมถามพระว่า จิตเป็นมัชฌิมามานานเท่าไรแล้ว

พระตอบว่า ๒๐ ปี

แต่โยมบอกว่า ๑๕ วัน แต่ผมไม่เข้าใจว่านี่เป็นจิตใครที่ว่า ๑๕ วัน จะเป็นจิตพระหรือเป็นจิตโยม”

กรณีอย่างนี้นะ เวลาเขาไปคุยกันสองคน พอเขาไปคุยกันสองคน แล้วสิ่งที่มันเป็นการสื่อสารกันสองคน ทำไมต้องสื่อมาถึงเราด้วยล่ะ ทำไมต้องมาสื่อถึงเว็บไซต์ของพระสงบด้วย พระสงบมีส่วนได้เสียอะไรกับคนสองคนนั้น พระสงบไม่มีส่วนได้เสียอะไรกับคนสองคนนั้น แต่คนสองคนนั้นเขาคุยกัน แต่คุยกันอย่างนี้ พูดถึง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเว็บไซต์พระสงบเลย

ทีนี้พอถามมา ถามมาเพื่อโยนหินถามทาง เพื่อวัดกระแส ถ้าวัดกระแสแล้ว เราจะบอกว่า กรณีอย่างนี้นะ ถ้าเป็นทางของโยม คือทางของฆราวาส ทางของโลกเขา โลกเขา การศึกษา ทุกคนอยากมีการศึกษา ทุกคนอยากมีวิชาการ ทุกคนอยากมีความรู้ ถ้ามีความรู้ก็มีการค้นคว้ากันทางตำราทางวิชาการกัน

ทีนี้ตำรับตำรานะ หลวงตาท่านบอกว่า ตำราที่เขียนผิดก็มี แผนที่ที่เขียนผิดจะพาให้คนเข้าไปในพื้นที่นั้นด้วยวิบากของเขา ทั้งๆ ที่พื้นที่นั้น ถ้าคนเข้าไปโดยไม่มีแผนที่ เขาก็ใช้ประสบการณ์ของเขา แต่เราไปเขียนแผนที่ให้ผิด คนที่ถือตามแผนที่นั้นกับพื้นที่นั้นมันขัดแย้งกัน ฉะนั้น ตำรับตำราที่เขียนผิดนี่เยอะแยะมาก ตำรับตำราเขียนโดยที่ไม่มีเนื้อหาสาระสิ่งใดๆ เลย

ฉะนั้น ในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้สิ่งนี้เป็นเรื่องการกระแส เรื่องการตลาด ถ้าการตลาดนะ พระในปัจจุบันนี้ องค์ไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีอายุพรรษามากขึ้น เขาจะมีพวกนักธุรกิจทางบุญเขาจะเข้ามาเขียนประวัติให้ เข้ามาเขียนตำรับตำราส่งเสริม ส่งเสริมคนคนนั้นให้เป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วพอมนุษย์เราโดยประชาชนทั่วไปก็ศึกษาตามตำรับตำรา

ทีนี้ตำราใครเป็นคนเขียนไว้ล่ะ ตำราใครเป็นคนเขียนไว้ แล้วเราก็ไปศึกษาตำรานั้น เราก็อ้างว่ามันมาตามตำรา มาตามตำราไง แล้วตามตำรา ตำรานั้นใครเป็นคนเขียนล่ะ ตำรานั้นเราเชื่อถือได้มากน้อยขนาดไหนล่ะ

แม้แต่ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎก พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นผู้ที่สังคายนามา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ แต่มีการจดจารึกมา แล้วการจดจารึกมา ส่งต่อกันมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัย ๒,๐๐๐ กว่าปีมา มันมีศึกมีสงคราม มีการเผามีการทำลายมา มันมีการแก้ไข มีการจดจารึกมา แล้วพระบางองค์ก็บอกในพระไตรปิฎกมีการเจือปนเข้ามา สิ่งที่เป็นพราหมณ์ปลอมบวชเข้ามาก็มาเขียนตำรับตำรากัน มันก็ตรวจสอบมันก็ตรวจทานกันได้ไง ถ้าตรวจทานกันได้

ในความเชื่อถือของสังคมเขายังเชื่อถือทางวิชาการนะ อันดับหนึ่งคือพระไตรปิฎก อันดับสองคืออรรถกถา แล้วก็ฎีกา มันมีเป็นชั้นเป็นตอนมา นี่พูดถึงตำรับตำรานะ

ฉะนั้น ตำรับตำรา เรื่องของโลก มันน่าสงสารไง น่าสงสารว่า โลกเขาเชื่อถือ เขาเชื่อถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชาวพุทธเชื่อถือรัตนตรัย แล้วเราเชื่อถือรัตนตรัย พอเชื่อถือรัตนตรัย แต่ในเมื่อกาลเวลามันผ่านพ้นไป มันนานไป ความมั่นคงในศาสนามันก็อ่อนแอลง อ่อนแอลงก็มีแต่ศรัทธามีแต่ความเชื่อ ทีนี้มีครูมีอาจารย์ไง มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มีครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา จนสังคมเขายอมรับว่ามรรคผลมันมีจริง มรรคผลมันมีจริง ถ้ามรรคผลมีจริง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเคยไปคุยอวดโม้ใคร

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านคุยกันประจำ เพราะหลวงปู่เสาร์ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น เอาหลวงปู่มั่นมาบวช พอหลวงปู่มั่นมาบวชแล้ว หลวงปู่มั่นภาวนาเริ่มต้นก็เอาหลวงปู่เสาร์เป็นแบบอย่าง พอหลวงปู่มั่นท่านภาวนาของท่านไป ท่านแก้ไขตัวท่านเอง ท่านมีอุปสรรคสิ่งใด ท่านก็ไปถามหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ท่านบอกว่า สองคน ท่านคุยกันมาตลอด ท่านคุยกันมาตลอด ท่านคุยกัน ท่านปรึกษากัน ท่านหาหนทางที่จะพ้นไปจากทุกข์ ท่านไม่มาโฆษณา ไม่มาประกาศหรอก

ไอ้นี่มันเป็นประกาศไง มันมีเจตนา เจตนาที่บอกว่าใจเป็นมัชฌิมา “มีพระองค์หนึ่งไปถามโยมคนหนึ่ง พอโยมคนหนึ่งก็ถามว่าจิตของท่านเป็นมัชฌิมานานเท่าไรแล้ว พระตอบว่านาน ๒๐ ปี”

คำว่า “นาน ๒๐ ปี” ถ้ามันตีความก็บอกว่าฉันเป็นพระอรหันต์มา ๒๐ ปีแล้วใช่ไหม ฉันเป็นมา ๒๐ ปีแล้วสิ ถ้าฉันเป็นพระอรหันต์มา ๒๐ ปีแล้ว แต่โยมบอกไม่ใช่หรอก ๑๕ วัน อ้าว! เป็นพระอรหันต์มา ๑๕ วัน ไอ้พระก็ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์มา ๒๐ ปี ไอ้โยมก็บอกว่าเป็น ๑๕ วัน แล้ว ๑๕ วันนี้เป็นพระเป็นหรือโยมเป็น เออ! พระเป็นหรือโยมเป็นล่ะ

มันก็ไม่เป็นทั้งคู่ มันไม่มีอะไรเป็นหรอก มันไม่มีอะไรเป็น เพราะอะไร มันไม่มีอะไรเป็น การสื่อสารกันเขาคุยกันภายใน เขาไม่เอามาพูดเป็นภายนอกหรอก

ในวงกรรมฐาน หลวงตาท่านพูดบ่อย ในวงกรรมฐาน ในวงกรรมฐานเขาจะรู้กันว่าใครมีคุณธรรมแค่ไหน คำว่า “มีคุณธรรม” นะ คนอยู่ด้วยกัน โทษนะ โยมมีครอบครัวในบ้าน สามีภรรยานิสัยอย่างไรก็รู้ๆ กันใช่ไหม ยิ่งพ่อแม่เลี้ยงลูกมา รู้เลย ลูกเราเลี้ยงมากับมือ ลูกคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร เลี้ยงมากับมือ

ฉะนั้น เวลาคนที่เขาอยู่ด้วยกัน คุณธรรม เขารู้กัน ในครอบครัวกรรมฐานเขารู้ เขารู้ว่าใครมีจริงหรือไม่มีจริง ถ้าใครมีจริงแล้ว เขาเคารพบูชากันด้วยคุณธรรม เช่น หลวงตาท่านเชิดชูหลวงปู่ลีมาก หลวงปู่ลีนี่ของจริง ดูของจริงสิ ท่านไม่เป็นพิษเป็นภัย ธรรมไม่เป็นพิษเป็นภัย ธรรมมีคุณธรรมเต็มหัวใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ใครๆ ก็ไปพึ่งหลวงปู่ลี ใครๆ ก็พึ่งหลวงปู่ลี

ร่มโพธิ์ร่มไทรใช่ไหม นกกามันมาอาศัยใช่ไหม อสรพิษมันก็มาอาศัยด้วย ดูสิ ร่มโพธิ์ร่มไทรมันมีอาหารของมัน ลูกไทร นกมันมากิน พรานมันก็เอาแร้ว เอาเครื่องดักสัตว์ไปดัก ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน ถ้าท่านมีคุณธรรม ท่านไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร คนที่ปรารถนาคุณงามความดี ปรารถนาครูบาอาจารย์ ท่านก็ไปอาศัยหลวงปู่ลี ไอ้คนที่เป็นอสรพิษมันก็ไปอาศัยหลวงปู่ลี มันก็เหมือนกัน ที่ไหนมันก็มี

ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัต ลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ เลย ลูกพี่ลูกน้องนี่มันสายเลือดเลยนะ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วๆ ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยพันธุกรรมของจิตมันแตกต่างกันไป มันก็ออกนอกทางไป ออกนอกทางไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ยังเมตตาของท่าน

ทุกคนบอกว่า อนาคตังสญาณ พระพุทธเจ้ารู้ทุกเรื่องไปหมดเลย ทำไมปล่อยให้เทวทัตเข้ามาแผลงฤทธิ์ในศาสนา

อ้าว! เทวทัตเขาก็สร้างบุญของเขามา ชูชกเขาก็บำเพ็ญเพียรของเขามา บำเพ็ญเพียรของเขามา ถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็มาเกิดเป็นเทวทัต เทวทัตเขาก็ปฏิบัติของเขามา เขาก็เข้าใจของเขาว่าอย่างนั้นเป็นคุณธรรมของเขา เป็นฌานโลกีย์อย่างนั้น แปลงกายได้ เขาก็เป็นฌานโลกีย์ของเขา เขาก็คิดว่าเขามีคุณธรรมของเขา ถ้ามีคุณธรรมของเขา ทำไมนางวิสาขาไม่เห็นคุณงามความดีเราเลย นางวิสาขามาก็มีน้ำปานะไปฝากพระอานนท์ พระนันทะ ไปฝากทุกองค์เลย ไม่เคยถามหาเทวทัตสักทีหนึ่ง เทวทัตจะทำอย่างไรให้คนเขาสนใจ เทวทัตก็แผลงฤทธิ์เป็นงูไปพันศีรษะของอชาตศัตรู

นี่ไง อย่างนั้นเป็นพระอรหันต์หรือ เทวทัตเป็นพระอรหันต์หรือ เทวทัตก็ฌานโลกีย์ นั่นเขายังมีฌานโลกีย์นะ นี่พระองค์หนึ่งมีอะไร ไม่มีอะไรเลย ถ้ามีอะไร มันต้องมีศักดิ์ศรี มีศักดิ์ศรีคือมีคุณธรรมในใจ ไม่ใช่ว่าเที่ยวไปอ้างคนนู้นไปอ้างคนนี้ แต่ก่อนก็ไปอ้างหลวงตาว่าหลวงตารับประกันอย่างนั้น หลวงตารับประกันอย่างนี้ หลวงตาเชิดชูไปหมดเลย เวลาไปหาหลวงตาก็ไปนั่งอยู่นู่น ขอบมุมศาลา กลับไปก็ไปเขียนโฆษณาอีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นี่เอาอีกแล้ว มันไม่มีอยู่จริง

ถ้ามีอยู่จริง โยมนะ โยมมีความสุขสบายอยู่ในบ้าน โยมจะไปหาใคร โยมอยู่ในบ้าน โยมสุขนะ ทุกอย่างพร้อมเพรียงอยู่ในบ้านเรา แล้วออกไปข้างนอกมันตากแดดตากฝน ออกไป เขาฉกชิงวิ่งราว เขาจะมาฉกเอาสมบัติของเรา โยมออกจากบ้านไปไหม? ไม่ไปหรอก เราอยู่บ้านเราปลอดภัย ออกไปข้างนอกนะ ไอ้พวกล้วงกระเป๋าก็มี ไอ้กรีดกระเป๋าก็มี ไอ้ตกทองก็มี มันมีไปหมด แล้วเราจะออกไปทำไม

แล้วนี่จิตเป็นมัชฌิมามา ๒๐ ปี ๒๐ ปียังเที่ยวร่อนไปอยู่นี่ ร่อนไปให้คนนี้ยอมรับ ร่อนไปให้คนนู้นยอมรับ อย่างนี้หรือมัชฌิมาปฏิปทา ๒๐ ปีมาแล้วหรือ ๒๐ ปียังร่อนไม่จบเนาะ ร่อนมันไปเรื่อย พอร่อนไป เพราะถ้าร่อนออกไปอย่างนั้นแสดงว่าข้างในมันไม่มี แล้วถ้ามันมีขึ้นมา มันไม่เป็นอย่างนั้น

ความหมายที่เขียนมาถามในเว็บไซต์ก็ถางทางเท่านั้นแหละ ถางทางว่ามันเป็นประโยชน์ไหม ถ้าไม่เป็นประโยชน์ เดี๋ยวก็จะปล่อยกระแสนี้ออกมา เดี๋ยวๆ ก็กระแสสักทีหนึ่ง การตลาด ถ้าการตลาด ทำไมมันเดือดร้อนกันขนาดนั้นน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมาให้ทำความสงบระงับ สอนเข้ามาในหัวใจของตัว ถ้าเรามีหัวใจของตัว มันมีจริงแล้วมันจะต้องไปเดือดร้อนอะไร นี่พูดถึงกระแสนะ ปัจจุบันนี้โลกเขาเป็นกันแบบนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว นี่พูดถึงกระแส ถ้ามันไม่เป็นจริง

เราไม่ต้องไปทำการตลาด เราหนีตลาดมา เราหนีโลกมา เราหนีโลกมา ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ป่าอยู่เขา ท่านอยู่ของท่านองค์เดียว เวลาหลวงปู่มั่นท่านให้พระองค์นั้นไปอยู่ป่านั้นเขานั้น แล้วหลวงตาท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นท่านเที่ยวมาพื้นที่ภาคอีสาน พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเขมร ในลาว ในพม่า หลวงปู่มั่นท่านธุดงค์มาหมดแล้ว ท่านรู้สภาพพื้นที่หมดนะ พอรู้สภาพพื้นที่หมด เวลาหลวงตาท่านลาหลวงปู่มั่นไปวิเวกนะ

“คราวนี้จะไปไหน”

ท่านบอกว่า “จะไปทางนี้ๆ”

บอก “เออ! ดี ตรงนั้นเป็นอย่างนั้น ตรงนี้เป็นอย่างนี้”

เวลาใครไปลาหลวงปู่มั่นนะ “คราวนี้จะไปไหน”

“จะไปทางนี้”

“เออ! ทางนี้เป็นอย่างนั้นนะ ภูเขาโน้นเป็นอย่างนั้น”

ท่านรู้ไปหมด เพราะท่านเที่ยวของท่านมา ท่านรู้ที่ไหนมันมีเสือมีสาง ที่ไหนที่มันแรง ที่ไหนไปแล้วมันมีอะไร

ดูสิ หลวงปู่ชอบกลับจากพม่า ๓ วัน ไม่ได้กินข้าว ในประวัตินะ ประวัติหลวงปู่ชอบ ๓ วัน ไม่ได้กินข้าวเลย เวลาโดยปกติเทวดา อินทร์ พรหมก็มาฟังเทศน์ฟังธรรม ก็มาปฏิสันถารตลอดเวลา คราวนี้อดอาหารมา ๓ วันแล้วนะ เวลามีความสุข ใครๆ ก็มาอนุโมทนาด้วย วันนี้จะตายแล้วนะ ไม่มีใครมาดูแลเลย มันวิตกขึ้นมาในใจ คนเราเวลามันทุกข์มันยาก มันคิดได้ พระอรหันต์ก็คิดได้ ทำไมพระอรหันต์จะคิดไม่ได้ พอคิดขึ้นมานะ ท่านบอกพอเดินไปเดินมามันจะตายแล้ว อดอาหารมา ๓ วัน

สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวลาอังกฤษมันเข้ายึด เวลาเขายึดในพม่า แล้วสยามกับพม่ามันมีความขัดแย้งกัน แล้วถ้าเขาจะจับชนชาวสยาม เขาบอกว่าหลวงปู่ชอบเป็นชาวสยาม เขาจะจับ ชาวบ้านเขาก็พยายามปิดกั้น พยายามดูแลรักษา จนเขาจะมาจับ บอกไม่ได้แล้ว ต้องส่งให้หลวงปู่ชอบกลับ ก็ชี้ทางให้เดินกลับมา กลับมาเมืองไทย เดินมาทางแม่ฮ่องสอน ๓ วัน ไม่ได้กินข้าว ๓ วัน

พอเดินมาถึง โอ้โฮ! มันแย่แล้ว พอวิตกขึ้นมา นี่คนมีบุญ คนมีความจริง เช้าขึ้นมาเดินไป อ้าว! นั่นใครน่ะ เตรียมใส่บาตร เตรียมใส่บาตร ก็เดินไปรับบาตร หิว เดินไปรับบาตร นี่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้หลวงตาฟัง ขณะที่ว่าครอบครัวกรรมฐาน พอเล่าให้ฟังแล้วมันซึ้งใจไง มันซึ้งใจว่า เวลาวิบาก เวลามันทุกข์ยาก มันผ่านวิกฤติ มันซาบซึ้ง มันเป็นธรรม คนเล่าเล่าด้วยความเป็นธรรม คนฟังฟังด้วยความเป็นธรรม อันนี้ไม่ใช่อริยสัจนะ อันนี้ไม่เกี่ยวกับมรรคเลย แต่เกี่ยวกับอำนาจวาสนาบารมี มันเป็นธรรมไง

พอมันเป็นธรรมนะ พอหิวจัด เดินมา เห็นฆราวาสเขาเตรียมใส่บาตร ก็รีบปลดบาตรบิณฑบาตเลย แต่มันก็สงสัย เอ๊ะ! มันไม่มีบ้านคน พอเข้าไปรับบาตร ถามโยมมาจากไหน เขาก็ชี้มือไปบนฟ้า ก็ยังหิวอยู่ หิว ก็ยังไม่สนใจ

แต่พอเขาใส่บาตรแล้วมันแปลกใจแล้ว เพราะอาหารที่ตกบาตร กลิ่นของอาหารมันแปลกๆ มันไม่เหมือนที่เคยเห็นทุกๆ วัน ก็สังเกตเขาว่าเขาจะกลับบ้าน เพราะเขาชี้บ้าน เขาชี้ไปทางไหน ก็มอง พอเขาเดินไป ก็มองไปเรื่อย พอไปถึงต้นไม้ใหญ่ มันบังต้นไม้ใหญ่ พอบังต้นไม้ใหญ่ก็หายไปเลย พอหายไปเลย หลวงปู่ชอบท่านก็เดินตามไป เดินไปต้นไม้ใหญ่ แล้วก็ไปเดินรอบต้นไม้ใหญ่ มันไปทางไหน มันไปทางไหน

นี่ครอบครัวกรรมฐาน ความเป็นจริงกับความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ ถ้ามันเป็นแบบนี้ ที่ไหนมันเป็นอย่างไร ที่ไหนที่แรง ที่ไหนมีสัตว์ร้าย ที่ไหนมีสิ่งต่างๆ เพื่อจิตใจของคน จิตใจของลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์ไหนที่จิตใจมันคึกคะนอง จิตใจที่มันเอาลงได้ยาก มันควรไปอยู่ตรงนี้ ถ้าจิตใจของคนที่มันเป็นปานกลาง มันควรจะอยู่ตรงนี้ เวลาใครจะลาไปวิเวกตรงไหน ท่านรู้ไปหมดนะ นี่วงกรรมฐานเขาทำกันอย่างนี้ เขาทำความจริงอย่างนี้

ทำอย่างนี้มันเป็นบริขาร ๘ บริขาร ๘ มันเป็นพระต้องมีบริขาร ๘ เพื่อดำรงชีวิต จะไปภาวนามันก็อาศัยสัปปายะ อาศัยสถานที่ นี่มันเป็นเรื่องข้างนอกนะ มันยังไม่ย้อนกลับมาเรื่องภาวนาเลย ถ้าเรื่องภาวนาขึ้นมา มันภาวนาขึ้นมา ท่านวางของท่าน ท่านชี้ของท่าน ท่านอนาคตังสญาณ ท่านหมายของท่าน ท่านให้เราไปปฏิบัติของท่าน นี่เป็นความหมายของครูบาอาจารย์ของเรานะ ไม่ใช่ทำการตลาดกันอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ามัชฌิมามา ๒๐ ปีแล้วก็ยังวิ่งหาเขาทั่วไปหมด แล้วทำไมตัวเองไม่มีที่พึ่งที่อาศัย มันเป็นมัชฌิมาตรงไหน มันไม่เป็นมัชฌิมาตรงไหนเลย นี่พูดถึงนี่มันการตลาด

เราชมมานานแล้วนะ นี่จะให้ชมอีก ชื่นชมมานานแล้วพระองค์นี้ แล้วก็ยังเขียนมาให้ชื่นชมต่อ จะให้ชื่นชมอีกใช่ไหม ถ้ามันชื่นชมขึ้นไป มันกลัวกันตรงนี้ไง

ฉะนั้น คำถาม “อะไรคือจิต อะไรคือมัชฌิมาปฏิปทาครับ”

นี่ไง มัชฌิมาปฏิปทา มันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศน์ธัมมจักฯ เทฺวเม ภิกฺขเว ภิกษุไม่ควรเสพทางสองส่วน ส่วนหนึ่งคืออัตตกิลมถานุโยค อีกส่วนหนึ่งคือกามสุขัลลิกานุโยค ภิกษุเราควรตั้งจิตของเราให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทา

เวลามัชฌิมาปฏิปทาแล้ว เรามัชฌิมาปฏิปทาของใคร

ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาของกิเลส มันก็บอกว่า ถ้าเราพอใจเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เราทำสิ่งใดแล้วมีความสุข มีความพอใจ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วถ้ากิเลสมันพอใจมันก็พอใจนอนไง นอนอยู่กลางหมอนเลย นี่มัชฌิมาปฏิปทา คร่อก คร่อก อย่างนี้มัชฌิมาปฏิปทาหรือ มัชฌิมาปฏิปทาของใครล่ะ มัชฌิมาปฏิปทาของใคร

มัชฌิมาปฏิปทามันเป็นอะไร มันเป็นอะไร

ทางไง ทางเครื่องดำเนินไง

แล้วมันเกี่ยวอะไร ๒๐ ปี ไม่ใช่ ๒๐ ปีนะ เมื่อ ๕๐๐ ชาติที่แล้ว ๕๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติที่แล้วก็มัชฌิมาปฏิปทา เพราะมัชฌิมาปฏิปทาคือทำใจให้เป็นกลาง ทำใจให้เป็นกลาง ดูสิ ชัย ราชวัตร มันบอกความเป็นกลางๆ ความเป็นกลางเป็นหลุมหลบภัยของคนขี้ขลาด มัชฌิมาปฏิปทากลางขี้ขลาดไง มันขี้ขลาดตาขาว มันไม่กล้าสู้กับกิเลสของมัน มันไม่กล้าเข้าไปเผชิญกับกิเลสของมัน มันกลางขี้ขลาด มัชฌิมาขี้ขลาด ไม่ใช่มัชฌิมาของนักรบ ไม่ใช่มัชฌิมาของการประพฤติปฏิบัติ

ถ้ามัชฌิมาของการประพฤติปฏิบัติ ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยคคือทำตนให้ลำบากเปล่า ถ้ากามสุขัลลิกานุโยค นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติไปแล้ว อัตตกิลมถานุโยค เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ ปี นี่อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยคมันมีอยู่แล้ว ในสมัยพุทธกาลนะ มีพวกนักบวช เขาบอกว่าให้เสพสุขๆ ไป ไม่มีอะไร โลกนี้เสพสุขไป ๕๐๐ ปีก็สิ้นกิเลสไป นั่นกามสุขัลลิกานุโยค แล้วเวลาปฏิบัติไปถ้าจิตมันลงสมาธิ นั่นก็กามสุขัลลิกานุโยค จิตมันลงสมาธิมันก็สุขของมัน ถ้าเป็นสมาธิมันก็สุขนะ แล้วมันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาไหม

เวลาหลวงตาท่านติดสมาธิ ๕ ปี ไปหาหลวงปู่มั่นบอกว่า “มหา จิตเป็นอย่างไร”

“สบายดีครับ สบายดีครับ”

มัชฌิมาปฏิปทาไหม มัชฌิมาปฏิปทาหรือเปล่า หลวงตาติดสมาธิอยู่ ๕ ปี มัชฌิมาปฏิปทาไหม แล้วเวลาไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา เวลาหลวงปู่มั่นท่านพยายามจะชี้ทาง

“มหา จิตดีไหม”

“ดีครับ”

“ดีไหม”

“ดีครับ”

“ดีอะไร นี่สุขแค่เศษเนื้อติดฟัน”

มัชฌิมาปฏิปทา สุขแค่เศษเนื้อติดฟัน ไม่ใช่คำข้าวนะ แค่เศษเนื้อติดฟัน ถ้าเศษเนื้อติดฟัน ทีนี้คนติดใช่ไหม “อ้าว! ถ้ามันเป็นเศษเนื้อติดฟัน แล้วเราจะเดินทางไหน ในเมื่อเป็นสัมมาสมาธิ”

“อ้าว! สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีสมุทัยเจือปน ของท่านมันมีสมุทัยเจือปน”

เพราะตอนนั้นหลวงตาท่านคิดว่านี่คือนิพพาน สมาธิคือนิพพาน ท่านไปติดตรงนี้ ท่านคิดว่านิพพานของท่านแล้ว นี่หลวงตาท่านติด คือท่านมีคุณธรรมนะ เพราะท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ ท่านก็จะดึงออกมา

ไอ้นี่จิตเป็นมัชฌิมามา ๒๐ ปี อีกคนหนึ่งบอก ๑๕ วัน อีกคนหนึ่งบอกมันเป็นมา ๒๐ ปี อีกคนหนึ่งบอกเป็นมา ๑๕ วัน

เป็นมากี่ร้อยชาติแล้ว ถ้ามันวางใจเป็นกลางขึ้นมา วางใจเป็นปกติ มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าพูดถึงเป็นกลางนะ แต่มันมีสมุทัย มันไม่มัชฌิมาโดยสัมมาสมาธิ ไม่มัชฌิมาโดยสัมมา สัมมากัมมันโต สัมมาคืองานชอบ เพียรชอบ ไอ้นี่มันมิจฉา มัชฌิมาในทางมิจฉาไง ความเป็นกลาง กลางในทางมิจฉา กลางในความเห็นแก่ตัว กลางในตัวมัวเมา ถ้ามัวเมาไง มันมัวเมามันก็ไม่รู้ พอไม่รู้มันก็เป็นมา ๒๐ ปีไง มันเป็นมา ๑๐๐ ปีนู่นน่ะ เพราะมัชฌิมาปฏิปทามันก็มัชฌิมาปฏิปทา อุเบกขา

สิ่งนี้เวลาคนมาถามนะ “คนนั้นอุเบกขา” นี่ไง คนภาวนาไม่เป็นไง อุเบกขา อุเบกขามันก็จะลงสู่สุขลงสู่ทุกข์ มัชฌิมาปฏิปทาเดี๋ยวมันก็ลงอัตตกิลมถานุโยค มันก็ลงซ้ายลงขวา มันมัชฌิมาตาชั่ง เข็ม น้ำหนักอะไรมันก็เอียงหมด มันจะไปลงสู่สุขลงสู่ทุกข์ไง มันจะไปของมัน มันจะอยู่ตรงๆ ได้ไหม มันอยู่ไม่ได้หรอก มันอยู่ไม่ได้ ทีนี้พออยู่ไม่ได้ เพียงแต่ว่ามัชฌิมาปฏิปทาเป็นปัจจุบัน ถ้าเวลาปฏิบัติไปเป็นปัจจุบัน มัชฌิมาปฏิปทามันเหมือนเป็นชื่อ จิตถ้ามันลงสู่มัชฌิมาปฏิปทา แต่มัชฌิมาปฏิปทามันยังมีอีก ยังมีการปฏิบัติต่อเนื่องกันไป ถ้าต่อเนื่องกันไป พอมันพ้นไปแล้ว เวลาจิตมันพ้นเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี

แล้วเป็นโสดาบันมันมัชฌิมาปฏิปทาไหม

มันไม่มัชฌิมาปฏิปทาเพราะมันเป็นอกุปปธรรม กุปปธรรม-อกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความเป็นอนัตตาพ้นจากความเป็นอนัตตาเป็นอย่างไร

คนเป็นมันรู้ว่ามัชฌิมาปฏิปทามันต้องเดินไปอีกไกลนะ

ทีนี้บอกว่า ดูสิ อย่างเช่นมือเรา มือเรา เราถือของอยู่ ของมันหนัก ถ้าของมันหนัก เวลาเราปล่อยของไปแล้ว อัตตกิลมถานุโยคคือยกน้ำหนักไว้ เวลาวางไปแล้ว กามสุขัลลิกานุโยค แล้วเหลือมือไว้ มัชฌิมาปฏิปทา ว่างๆ อย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม

มันเป็นไปไม่ได้เพราะในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด ตัดแขนทิ้ง ตัดมัชฌิมาปฏิปทาทิ้งไง มัชฌิมาปฏิปทามันต้องทำลาย มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะตัวมัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุล ความพอดีของมัน แล้วมันเป็นไปของมัน

มันไม่ใช่ตัวมัชฌิมาเป็นตัวทำ ไม่มี ไม่มีหรอก จิตเป็นมา ๒๐ ปี คือมันพยายามจะให้เป็นแบบนั้นมันไม่มีหรอก

เหมือนไฟ ไฟ ดูสิ ไฟ ๒๒๐ ถ้าไฟมันตกล่ะ เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เสีย ถ้าไฟมันเกินล่ะ มันก็ช็อต อ้าว! ไฟมันก็ต้องพอดีใช่ไหม อ้าว! ไฟพอดีแล้วทำอย่างไรต่อ มัชฌิมาปฏิปทาก็ไฟ ๒๒๐ ไง อ้าว! แล้วทำอย่างไรต่อล่ะ ช็อตตาย อ้าว! ไฟมาแล้วก็เอามือไปกำมันใช่ไหม ก็เป็นมา ๒๐ ปีแล้วก็รัดคอ ๒๐ ปีไว้เลย แล้วเปิดไฟมา โอ้! มัชฌิมาปฏิปทา แบบว่าสายไฟไง ปอกเลย ทองแดงรัดคอไว้ แล้วก็กดไฟมา มัชฌิมาปฏิปทา ๒๒๐ พอดี มัชฌิมาปฏิปทาพอดีเลย

มันถึงบอกว่า ความไม่เป็นมันก็คือไม่เป็นวันยังค่ำ ความไม่เป็นพูดออกไปก็คือไม่เป็น แต่นี่พูดออกไปไม่เป็นแล้ว เพียงแต่ว่ากลัว ถามมาในเว็บไซต์พระสงบเสียหน่อยหนึ่ง ถ้าพูดไป สงบมันจะค้านไหม ถ้าสงบมันจะค้านก็จะไม่พูด ถ้าสงบไม่ค้านนะ เดี๋ยวมัชฌิมาปฏิปทามันก็จะมาอีกรอบหนึ่ง รอบที่แล้วไปแล้วรอบหนึ่งนะ เดี๋ยวจะมีรอบมัชฌิมาปฏิปทามาอีกรอบหนึ่ง แล้วเขียนมาดูก่อนว่าอย่างนี้จะโดนไหม

ถ้ามันจริงนะ มันพูดไปเถอะ คำถามว่า “จิตกับมัชฌิมา คืออะไรครับ อะไรคือจิต อะไรมัชฌิมา”

จิตก็คือจิต จิตก็คือจิต จิต ดูสิ กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แต่จิตเห็นจิตมันแปลก จิตทำไมต้องเห็นจิตด้วย จิตทำไมต้องเห็นจิต เห็นของมันนะ เห็นตามความเป็นจริง นี่ถ้าความเป็นจริง

ฉะนั้น สิ่งที่เขียนมา เพราะจริงๆ แล้วในการปฏิบัติ เราเห็นใจ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านเห็นใจมากนะ เห็นใจมากเพราะอะไร เห็นใจมากเพราะหลวงปู่มั่นกว่าท่านจะเป็นหลวงปู่มั่นของเราขึ้นมาได้ ท่านทุกข์มาขนาดไหน หลวงปู่เสาร์ท่านบากบั่นมาขนาดไหน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี หลวงตา หลวงปู่ลี

หลวงปู่ลีนะ เวลาท่านบวชแล้วท่านเกาะหลวงตาติดเลย เพราะอะไร เพราะหวังพึ่ง หวังพึ่ง หวังพ้นทุกข์จากหลวงตา ให้หลวงตาชี้ทางให้ ไปทางไหนก็ไม่ไป เกาะหลวงตาติดเลย นี่ท่านทุกข์ยากมาขนาดไหน

ภาวนาคือการเอาชนะตนเอง เวลาง่วงนอน เวลาหิวกระหาย เราต้องเอาชนะความง่วงนอน ความหิวกระหายนั้น มันทุกข์ยากขนาดไหน คนภาวนามามันรู้นะว่าเราทุกข์ยากมาขนาดไหน ฉะนั้น มันถึงเห็นใจคนภาวนาไง ฉะนั้น คนภาวนามันจะมีผิดมีถูกบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา คนภาวนาแล้วไม่ผิดเลยมันไม่มีหรอก แต่คนภาวนาเวลามันผิดแล้วเราต้องแก้ไขสิ เราผิดแล้วเราจะไม่ทำผิดซ้ำผิดซากสิ

สิ่งที่ทำความผิดเพราะเราไม่รู้ เราเผลอไป หรือกิเลสมันหยาบใช่ไหม จิตใจเราอ่อนแอ จิตใจเราไม่มีกำลัง เราพลาดพลั้งแพ้มันไป เรากลับมาใหม่ เราก็พยายามฝืนของเราสิ เราพยายามฝืนของเรา เราพยายามสร้างสติของเรา เราพยายามต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับกิเลสของเรา อย่างนี้สิมันถึงจะเป็นนักปฏิบัติ นักปฏิบัติเขาต้องสู้กับตัวเอง เอาชนะตัวเองสิถึงเป็นนักปฏิบัติ

ไอ้นี่ไปหาองค์นั้น ไปหาองค์นี้ อ้างองค์นั้น อ้างองค์นี้ อ้างเขาไปทั่วเลย องค์ไหนปฏิบัติมีชื่อเสียง ไปแล้ว พอไปถึงนะ เขาจะบอกเลย เชิดชูเรา เชิดชูเรา...เขาแก้เราไม่ได้หรอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกเลย เอาธรรมะใส่หัวใจใครไม่ได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แล้วเรา เราเป็นนักปฏิบัติ เราก็พยายามปฏิบัติของเราให้เป็นความจริงขึ้นมา แล้วถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เรามีความจริงแค่ไหนเราก็พูดแค่นั้นสิ

หลวงตาท่านพูดเลย คนที่มีธรรมเวลาพูดออกมามันจะเปิดอกเลยว่าคนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อพูด เวลาพูดออกมาโง่ฉลาด คำพูดมันจะฟ้องหมดว่าคนนั้นโง่หรือคนนั้นฉลาด นี่ก็เหมือนกัน พูดออกมาสิ

“จิตเป็นมัชฌิมามา ๒๐ ปีแล้ว”

โอ๋ย! ฟังแล้วปวดหัว อะไร มัชฌิมาอะไร

บางคนมานะ “ใจเป็นอุเบกขาแล้ว อุเบกขา” เราได้ยินอยู่ เขามาถามว่าเป็นอุเบกขา เขาบอกว่าอุเบกขานั่นคือนิพพาน

เราบอกว่ามันไม่ใช่ อุเบกขามันจะเป็นนิพพานได้อย่างไร อุเบกขามันเป็นอุเบกขา มันวางเฉย

เพราะคนไม่เคยภาวนา คนภาวนาเป็นมันจะรู้เลยนะ เวลาเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา แล้วมันอัพยากฤตล่ะ เวลามันเข้าไปยันไว้ พอยันไว้ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง นี่คนปฏิบัติมันจะมีประสบการณ์ หลวงตาท่านบอกว่าท่านนั่งตลอดรุ่งต่อสู้กับเวทนา ต่อสู้กับเวทนาเต็มที่เลย ต่อสู้กับเวทนาจนถึงเที่ยงคืน มันสู้กันไม่ไหว มันเหนื่อยมาก ท่านก็เลยกำหนดยันไว้เฉยๆ

พอดี พอดีหลวงปู่มั่นส่งจิตมา อนาคตังสญาณส่ง เพราะหลวงปู่มั่นท่านเป็นห่วง ท่านก็ส่งจิตมาดู อ๋อ! มหาภาวนาอย่างนี้เนาะ ท่านก็สงสารนะ เพราะมันสู้มานานแล้วมันก็ยันไว้เฉยๆ ท่านก็กลับไป ท่านก็ดึงจิตกลับไป

ตอนเช้าหลวงตาท่านไปทำข้อวัตรหลวงปู่มั่น พอขึ้นไป หลวงปู่มั่นท่านถาม “มหา มหาภาวนาอย่างไร ภาวนาอย่างกับหมากัดกัน”

หมากัดกัน คือหมาเวลามันกัดกัน หมามันกัดไว้แล้วมันไม่ยอมปล่อย มันคาอยู่อย่างนั้นแหละหมากัดกัน

หลวงตาท่านฟังท่านรู้เลย คนปฏิบัติกับคนปฏิบัติเขารู้กัน แล้วหลวงตาท่านก็รู้ว่าท่านผิดแล้ว แต่ท่านบอกว่าท่านกำหนดไว้ในใจ แล้วท่านก็เล่าให้ลูกศิษย์ฟัง เล่าให้พวกเราฟังบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นท่านส่งจิตก่อนหน้านั้นมาสัก ๑ ชั่วโมง แล้วขณะส่งจิตมาดูเราภาวนาอยู่ ท่านจะไม่พูดอย่างนี้เลย เพราะก่อนหน้านั้นเราได้ต่อสู้กับเวทนา เราใช้ปัญญาแยกแยะกับเวทนา มันสู้กันมานาน สู้กันมานานจนมันเหนื่อยมาก มันเหนื่อยมาก มันเพลียมาก มันต่อสู้กันมาเต็มที่แล้ว มันก็เลยสู้ไม่ไหว พอสู้ไม่ไหวท่านก็กำหนดพุทโธๆ พักไว้ก่อน พักไว้ก็ยันไว้ก่อน พอยันไว้ก่อน ถ้าพุทโธมันมีกำลังแล้วท่านก็จะไปสู้กับมันใหม่ แต่พอดีหลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาดูตอนมันพักไว้ พอมันพักไว้ พอไปถึงท่านบอกว่า “มหา มหาภาวนาอย่างนี้หรือ ภาวนาแบบหมากัดกัน”

นี่ไง คนภาวนามันจะรู้ อัพยากฤต เวลามันเสมอหรือมันยันไว้มันทำอย่างไร อุเบกขาๆ มันเป็นอย่างไร อุเบกขามันปล่อยมันเป็นอย่างไร มัชฌิมาปฏิปทามันเป็นอย่างไร เขารู้กัน คนปฏิบัติเขารู้ ไอ้นี่มันไม่รู้

จะทำอะไรก็ทำไปเถิด พระองค์นี้กับโยมคนนี้จะพูดอะไรก็พูดกันไป พระสงบก็เป็นพระสงบ พระสงบก็อยู่วัด อยู่ราชบุรี ไม่ไปยุ่งกับใครเลยนะ แต่ทำไมมันมีปัญหาอย่างนี้ล่ะ

ปัญหาคือว่าเรามองแล้วมันไม่ใช่กรรมฐาน ไม่ใช่พระกรรมฐานแบบสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระกรรมฐานแบบสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านจะเคารพครูบาอาจารย์ของท่านตามความเป็นจริง ท่านไม่ขายครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านจะไม่เอาครูบาอาจารย์บอกรับประกันคนนั้น รับประกันคนนี้

ถ้าครูบาอาจารย์รับประกันเรา อย่างเช่นหลวงปู่มั่นมารับประกันเรา ถ้าเราทำอะไรเสียหายไป หลวงปู่มั่นท่านจะเสียหายไปด้วย ถ้าเอาครูบาอาจารย์องค์ไหนมารับประกัน แล้วพฤติกรรมของเราประพฤติปฏิบัติไม่สมกับความเป็นพระ เราเสียทั้งเราด้วย เสียทั้งครูบาอาจารย์ของเราด้วย ทำไมเราต้องเอาครูบาอาจารย์ของเรามาถูลู่ถูกังให้เสียหายไปด้วยล่ะ

ถ้าเราเป็นลูกศิษย์ที่มีครูมีอาจารย์ ถ้าเราจะเสียหายก็เสียหายเฉพาะเราทำเสียหาย ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเรา เราเทิดทูนท่านไว้ ทำไมต้องไปเอาครูบาอาจารย์มาอ้างมาอิง แล้วเวลาเสียหาย เราก็เสียหาย แล้วครูบาอาจารย์ก็ดึงครูบาอาจารย์เสียหายไปด้วยล่ะ

พระกรรมฐานเขาไม่ทำกันแบบนี้ เขาฟังครูบาอาจารย์ เขาฟังมาเพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ แล้วเราพยายามฝึกฝนตัวเรา เราจะดีก็ดีในตัวเรา ถ้าเราจะเลวก็เลวที่ตัวเรา มันจะดีก็ได้ถ้าเราทำคุณงามความดี มันจะเลวก็ได้ถ้ากิเลสมันหนา ถ้ามันเลวก็เลวเฉพาะเรา อย่าให้เลวถึงครูบาอาจารย์ของเราด้วย นี่พูดถึงกรรมฐานเขาทำกันอย่างนั้น

ตอนนี้กรรมฐานมันแซงหน้าแซงหลังไปแล้วล่ะ เมื่อก่อนตอนเราเทศน์ เขาบอกเราแซงหน้าแซงหลัง เราเลยเทศน์ พระสงบไม่แซงหน้าแซงหลัง มีอยู่กัณฑ์หนึ่ง ไปฟังได้ เขาจะหาว่าเราแซงไปนู่นแซงไปนี่

นี่พูดถึงว่าจิตเป็นมัชฌิมาเป็นอย่างไรเนาะ

อีกข้อหนึ่ง

ถาม : ข้อ ๑๓๗๐. เรื่อง “จำคำนี้ไว้ให้ดี”

กราบนมัสการค่ะ สืบเนื่องจากคำตอบเรื่อง “เพียงคำเดียว” น้ำเสียงของหลวงพ่อที่สั่งว่า “จำคำนี้ไว้ให้ดี ลมหายใจอย่าทิ้งเด็ดขาด” ลูกเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเจ้าค่ะ ฟังปุ๊บ โล่งสบายปั๊บ ลอยลมบนโลดเลยค่ะ กราบระลึกถึงความเมตตาของหลวงพ่อด้วย

ตอบ : แล้วก็ถามปัญหามาอีก ปัญหาที่ถามมามันเป็นเรื่องปัญหาของสังคม ถ้าเป็นปัญหาของสังคมนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้าเขามีปัญหากันมันก็เรื่องของเขา

ทำสังคายนา ครูบาอาจารย์ เวลาพระอรหันต์ทำสังคายนามา ไอ้นี่มันเรื่องของการทำสังคายนา เราจะไปคิดร้อยแปดพันเก้า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสังคม

ทีนี้ถ้าเรื่องของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะย้อนกลับมาที่เรา ท่านจะไม่ออกไป แบบว่าอย่างเช่นหลวงปู่มั่น เวลาหลวงตาที่ติดสมาธิ ๕ ปี ทำไมถึงติดสมาธิ ๕ ปี ถ้าไปพูดตอนนั้น พูดอย่างไรมันพูดไม่ได้

เวลาเราว่าจะไปแก้คนนู้นจะไปแก้คนนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะเล็งญาณมองหาเลยว่าจิตดวงใดที่สมควรที่จะถึงคุณธรรม แล้วอายุเขาสั้น เขาจะตายก่อน ไปเอาดวงนั้นก่อน เห็นไหม เวลาจะไปเอาใครเขาต้องดูความพร้อมของใจของเขา

ไอ้นี่สังคม สังคมมันยังอีลุ่ยฉุยแฉกเลย แล้วก็บอกว่าจะต้องปฏิบัติให้เข้ามรรคเข้าผล จะเป็นนิพพานไปหมดเลย สังคมนี้จะเป็นพระอรหันต์หมดเลย ชาวพุทธ ๖๐ ล้านคน เมืองไทยจะเป็นพระอรหันต์ ๖๐ ล้านองค์ พอเผยแผ่ธรรมไปทุกคนจะเข้าใจธรรมะ ทุกคนจะเป็นพระอรหันต์หมดเลย ในประเทศไทยเป็นชาวพุทธจะมีพระอรหันต์ ๖๐ ล้านองค์ พระอรหันต์เต็มประเทศไทยไปเลย มันเป็นอย่างนั้นไหม? มันไม่เป็นหรอก

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านจะมีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ว่าเวลาแสดงธรรมไปแล้วคนจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน แสดงธรรมไป คนที่มีกิเลสเบาบางเขาก็จะเข้าใจ เขาจะรู้ของเขา คนกิเลสหยาบ กิเลสหนา เขาก็ต้องรอศรัทธาของเขา มันยังมีไปอีกเยอะแยะ ฉะนั้น ไม่ต้องไปทุกข์ไปยากหรอก ไม่ต้องไปร้อนใจเรื่องของเขา เขาจะมีปัญหาของเขาก็เรื่องของเขา ด้วยวุฒิภาวะของเขา ด้วยความเห็นของเขา แต่ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรม ท่านรู้อะไรควรไม่ควร นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องกรรมของสัตว์

ฉะนั้น ที่ว่า เพียงคำเดียวๆ ที่ว่า จำคำนี้ไว้ให้ดี เพียงคำเดียว จำคำนี้ไว้ให้ดี ลมหายใจเข้าออกอย่าทิ้งโดยเด็ดขาด

อันนี้เป็นคำสั่งของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกเลยนะ อย่าทิ้งพุทโธ อย่าทิ้งผู้รู้ ไม่เสีย

คนปฏิบัติจำให้ดี คนที่ไปเห็นนิมิต คนที่ไปรู้สิ่งต่างๆ เพราะมันส่งออกมันถึงไปรู้ ถ้าส่งออกไปรู้เห็นสิ่งใด กลับมาที่พุทโธ อยู่กับพุทโธ อยู่กับผู้รู้ ไม่เสีย ไม่เสีย

ถ้าอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ ไม่เสีย ฉะนั้น เพียงคำเดียว คำนี้ จำ ทำให้ดี ทำให้ดี เพราะมันเป็นคำที่หลวงตาท่านไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ปลายเท้าหลวงปู่มั่น ตอนหลวงปู่มั่นท่านนิพพาน เพราะหลวงตาท่านกำลังแสวงหาของท่าน แล้วไม่มีทางออก ไม่มีใครสั่งสอนได้ ก็ไปนั่งอยู่ที่นั่น สรุปเอาว่าท่านระลึกว่าหลวงปู่มั่นท่านสั่งไว้ “ถ้าการปฏิบัติไป ถ้ามันมีอุปสรรคสิ่งใดให้กลับมาที่พุทโธ ให้กลับมาที่ผู้รู้ จำตรงนี้ไว้”

หลวงตาท่านก็ใช้สิ่งนี้มาเป็นบรรทัดฐาน ถ้ามีสิ่งใดท่านจะกลับมาที่ผู้รู้ กลับมาที่พุทโธ กลับมาพุทโธๆ

ที่ว่าเวลาออกไปพิจารณาอสุภะๆ จนจะเป็นจะตาย จนไปหาหลวงปู่มั่น บอกว่า “ติดสมาธิ ๕ ปี ให้ออกมาๆ ทีนี้ก็ออกมาใช้ปัญญาแล้ว ใช้ปัญญาจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย”

หลวงปู่มั่นบอกว่า “นั่นล่ะไอ้บ้าสังขาร บ้าสังขาร”

“อ้าว! ถ้าบ้าสังขาร ถ้าไม่ใช้ปัญญามันก็แก้กิเลสไม่ได้ ก็นี่ใช้ปัญญาแล้วมันจะบ้าสังขารได้อย่างไร”

“นั่นแหละไอ้บ้าสังขาร”

ถ้าบ้าสังขารจะดึงไว้อย่างไร จะดึงสิ่งที่มันออกใช้ปัญญาได้อย่างไร

ท่านบอกว่าท่านต้องกลับมากำหนดพุทโธใหม่ กำหนดพุทโธแบบผู้หัดใหม่เลย พุทโธๆๆ พุทโธจนมันปล่อยวางได้ ปล่อยวางสิ่งนี้ไปทำงานเข้ามาสงบระงับ สงบระงับแล้วมีกำลัง พอมันปล่อยไปมันก็เป็นปัญญาพร้อมกับสมาธิ มันก็มีกำลัง มันก็เป็นมรรคขึ้นไป เห็นไหม ถ้าเป็นจริงมันจะเป็นแบบนี้

ฉะนั้น บอกว่า เพียงคำเดียวให้มันชัดเจน ให้มันชัดเจนอยู่กับของเรา อยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ เราอย่าส่งออกไปรับรู้ ไปแบกรับภาระต่างๆ ถ้าจิตใจเราไม่มั่นคง ถ้าจิตใจมั่นคงต้องกลับมาตรงนี้ ถ้ากลับมาตรงนี้มันก็เป็นประโยชน์ นี่พูดถึงถ้าภาวนาเป็น

โดยพื้นฐาน โดยพื้นฐานคนถ้ามีสติมีปัญญา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับการปฏิบัติ

“ถ้าเป็นประโยชน์กับเราก็เห็นแก่ตัวสิ แหม! ทำอะไรก็ต้องเป็นของเรา ทุกอย่างก็ยึดมาเป็นของเราหมดเลย”

เป็นประโยชน์กับเราต่อเมื่อเราปรับพื้นฐาน ยังหรอก แค่ทำความสงบของใจเท่านั้น สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน พอมีที่ตั้งแห่งการงานแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เราภาวนาไป พอภาวนาไปนะ มันจะชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ยังอีกมหาศาลนะ ปฏิบัติแล้วยังมีอีกมหาศาล อุปสรรคมหาศาลเลย

กิเลสนี้ร้ายนัก ใจมันประเสริฐ แต่โดนกิเลสมันครอบงำ แล้วพญามารมันไม่ยอมให้จิตดวงใดรอดพ้นจากความครอบคลุมของมันเลยล่ะ ทีนี้มารมันถึงควบคุมไว้ทั้งหมด ฉะนั้น พอมารควบคุมไว้ทั้งหมด มารมันถึงอหังการมาก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ขึ้นมาแต่ละองค์ แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปก็มีเท่านั้น แล้วพอผ่านพ้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราไป แล้วถึงคราวความไม่เชื่อถือของสังคม มันอีกพักใหญ่เลยล่ะ แล้วพระศรีอริยเมตไตรยถึงจะตรัสรู้ขึ้นมา นั่นมันจะเป็นไปเป็นครั้งเป็นคราว

ฉะนั้น เราอยู่ของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราต่อสู้ของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง